บทเรียนประชาธิปไตยของหนุ่มสาว กับการปราบปรามโดย ‘ทรรัฐ’

by ThaiQuote, 7 ตุลาคม 2563

อนุสรณ์ ธรรมใจ นักวิชาการรัฐศาสตร์ชื่อดัง บรรยายบทเรียนบทเรียนขบวนการประชาธิปไตยสันติธรรมของคนหนุ่มสาวและการปราบปรามโดยทรรัฐ

นายอนุสรณ์ ธรรมใจ ประธานกรรมการบริหารสถาบันปรีดี พนมยงค์ ได้กล่าวเปิดงาน PridiTalk งานเสวนาทางวิชาการ “จากหนักแผ่นดินสู่โรคชังชาติ: ชาติ ความเป็นไทย และประชาธิปไตยที่แปรผัน” เนื่องในโอกาสครบรอบ 44 ปี 6 ตุลาคม และได้บรรยายในหัวข้อ บทเรียนขบวนการประชาธิปไตยสันติธรรมของคนหนุ่มสาวและการปราบปรามโดยทรรัฐ โดยมีเนื้อหาสรุปได้ดังนี้

“เราไม่ได้จัดงานเพื่อความยินดีกับการสูญเสีย แต่เราจัดงานเพื่อรำลึกถึงการเสียสละของเหล่าวีรประชาธิปไตย เราจัดงานเพื่อเป็นการบอกกล่าวถึงดวงวิญญาณของผู้สละชีพเพื่อให้บ้านเมืองนี้เป็นธรรม และ เป็นของประชนชนมากขึ้น ทุกคนจะไม่ตายเปล่า เราไม่ได้จัดงานเพื่อตอกย้ำเรื่องในอดีตเพื่อให้เกิดความเกลียดชังมากยิ่งขึ้น แต่เราจัดงานรำลึกเพื่อให้เราไม่ลืม ไม่ให้เราเดินซ้ำรอยความผิดพลาดรุนแรงนองเลือดในอดีต เราควรให้อภัย ในฐานะเพื่อนร่วมชาติ ร่วมแผ่นดิน และ ร่วมโลก แต่ต้องสะสาง สัจจะให้ปรากฏ แสวงหาข้อเท็จจริง คืนความยุติธรรม และ เยียวยาเหยื่อผู้บริสุทธิ์”

“เราเสวนาเพื่อแสวงหาเส้นทางประชาธิปไตยไม่ให้ซ้ำรอยเกิดความรุนแรงนองเลือดขึ้นอีกในสังคมไทย สังคมไทยต้องได้บทเรียนแล้วว่า การปล่อยให้มีการสร้างวาทกรรมเพื่อให้เกิดการเกลียดชังกัน การใส่ร้ายป้ายสีว่า “หนักแผ่นดิน” “ขายชาติ” “ชังชาติ” ก็ดี ย่อมไม่เป็นผลดีต่อความสงบสุขของสังคม และ อาจทำให้ประชาธิปไตยครึ่งใบสืบทอดอำนาจ แปรผัน กลายพันธุ์เป็นอะไรก็ได้ที่เรายังไม่สามารถคาดเดาได้เลย เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ความเสี่ยง และ ความหวั่นวิตกในความรุนแรง

เพียงแต่เราใช้สติปัญญาทบทวนดูเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในไทยและในต่างประเทศ เราจะสามารถหลีกเลี่ยงความรุนแรง หรือ กับดักที่ “ทรรัฐ” อาจวางไว้เพื่อปราบปรามประชาชนด้วยการใช้กำลังรุนแรงได้ ขบวนการสันติธรรมประชาธิปไตยของคนหนุ่มสาว ไม่ว่าในฮ่องกง ในประเทศไทย หรือ ที่ใดในโลก ล้วนเป็นพลังที่เต็มไปด้วยความปรารถนาดี อยากเห็นสังคมอุดมคติที่เป็นธรรมและแบ่งปันกัน อยากเห็นเสรีภาพ อยากเห็นประชาธิปไตย ปราศจากการข่มเหงรังแก ปราศจากการใช้อำนาจรัฐคุกคามคนเห็นต่าง”

ขบวนการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ขบวนการของคนหนุ่มสาว ไม่ว่า 14 ตุลา 6 ตุลา ในไทยก็ดี ไม่ว่าที่เมืองกวางจูเพื่อโค่มล้มเผด็จการทหารเกาหลีใต้ในปี 2523 และเกิดการสังหารหมู่ ไม่ว่าจะเป็นที่เทียนอันเหมินเพื่อเรียกร้องการปฏิรูปและเสรีภาพเมื่อปี 2532 ก็ดี ไม่ว่าจะเป็นการปฏิวัติดอกมะลิหรืออาหรับสปริงในปี พ.ศ. 2553 ที่ตูนิเซียจนลุกลามไปทั่วทั้งภูมิภาคแอฟริกาเหนือและตะวันออกกลาง

การเรียกร้องประชาธิปไตยหลายเหตุการณ์มักจะจบลงด้วยการปรามปรามของ “ทรรัฐ” ที่ใช้ความรุนแรงด้วยกองทหารและอาวุธยุปโธปกรณ์จากภาษีประชาชน นำมาเข่นฆ่าและทำร้ายประชาชน

ไม่ว่าจะเป็นการปกครองแบบไหนล้วนเป็น “ทรรัฐ” ได้ทั้งสิ้น
ขึ้นอยู่กับผู้นำ เป็นผู้นำที่ใช้วิธีการแบบไหนในการรักษาอำนาจ
หากใช้วิธีเข่นฆ่าประชาชนของตัวเองเพื่อรักษาอำนาจ
ณ. วันนั้น เขาได้เป็น “ทรราชย์” ใน “ระบอบทรรัฐ” แล้ว

ทหารที่ปฏิบัติตามคำสั่งของผู้นำเผด็จการโหดร้ายและชั่วช้า ไม่ได้เป็น “ทหาร” อาชีพที่มีเกียรติศักดิ์ศรีในการต่อสู้เพื่อประชาชนและประเทศชาติอีกต่อไป

แต่พวกเขา คือ “ฆาตกรในเครื่องแบบ” ที่ต้องการอยู่รอดและยินดีทำตามคำสั่งปราศจากมโนธรรมของผู้ปกครองที่กดขี่
จะไม่เป็น “ทรรัฐ” จะไม่มี “ทรราชย์” ก็ต่อเมื่อผู้มีอำนาจบรรลุธรรม มองประชาชนที่เห็นต่างอย่างเป็นมิตร มองการชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยและเสรีภาพว่าเป็นความงดงามแห่งสำนึกของประชาชนผู้ตื่นรู้ มีการเดินหน้าเจรจาหารือกันเพื่อหาทางออกร่วมกันอย่างสันติ

นายอนุสรณ์ ธรรมใจ ประธานกรรมการบริหารสถาบันปรีดี พนมยงค์ กล่าวอีกว่า ในกรณีของไทย ณ. วันนี้ ทางออก คือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อให้เราได้ รัฐธรรมนูญของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน อันเป็นพื้นฐานของสันติธรรม และ ระบอบประชาธิปไตยอันมี “กษัตริย์” เป็นประมุข ที่มั่นคง สังคมที่สงบสุขเอื้ออาทร และ เจริญก้าวหน้าต่อไป บางประเทศจบลงด้วยความรุนแรงนองเลือด การรัฐประหารและได้เผด็จการที่โหดร้ายกว่า หรือ สภาพอนาธิปไตย บ้านเมืองแตกสลายเป็น รัฐล้มเหลว จาก “ทรรัฐ” เป็น “รัฐล้มเหลว” บางประเทศจบลงด้วยดี เป็นประชาธิปไตยที่มั่นคง คุณภาพชีวิตดีขึ้น โดยไม่มีความรุนแรงหรือการสูญเสียที่ไม่จำเป็น บางประเทศ มีการสูญเสีย มีการเสียสละของวีรชนผู้พลีชีพ แต่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดด เช่น เกาหลีใต้ และ หลายประเทศในยุโรป
การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและสันติธรรมไม่ใช่การต่อสู้วันเดียว อาทิตย์เดียว เดือนเดียว หรือ ปีเดียวจบ มันเป็นสงครามยืดเยื้อที่เราต้องต่อสู้กับพวกเผด็จการและพวกกระหายความรุนแรงและการกดขี่ การต่อสู้อาจต้องใช้เวลาชั่วชีวิต อาจต้องสืบทอดให้ลูกหลาน อย่าหวาดกลัวในการแสดงจุดยืนและความเห็นที่ถูกต้องเพื่อพิทักษ์สันติธรรมและเสรีภาพ และเราต้องยอมเข้าสู่ความยากลำบากที่จำเป็น แต่เป็นความยากลำบากที่พิสูจน์การกระทำอันยิ่งใหญ่ เป็นอมตะ เช่นเดียวกับคณะราษฎร ขบวนการเสรีไทย เช่นเดียวกับ ผู้ประศาสน์การแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศ. ดร. ปรีดี พนมยงค์ เช่นเดียวกับ วีรชน 14 ตุลา วีรชน 6 ตุลา และ พฤษภา 35

สำหรับ คนหนุ่มสาว ขบวนการคนหนุ่มสาวทั่วโลก ที่ต่อสู้ให้สังคมของตัวเอง ได้ต่อสู้เพื่อให้โลกนี้น่าอยู่ขึ้น เป็นธรรมขึ้น เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น ต้องมีจุดร่วม คือ ต้องมีจิตใจที่แข็งแกร่ง และ หัวใจที่อ่อนโยน หรือ A Tough Mind and a Tender Heart มีความกล้าหาญเสียสละ และ มีเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ หรือ เพื่อนร่วมชาติ

สำหรับ คนหนุ่มสาว ที่รอดชีวิตมาได้หลังความรุนแรงนองเลือดในค่ำคืนวันที่ 5 ตุลาจนถึงช่วงย่ำรุ่งวันที่ 6 ตุลาคม 19 ในพื้นที่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ ท้องสนามหลวง นับได้ว่า เป็นผู้โชคดีที่รอดพ้นจากเงื้อมมืออันโหดร้ายของ “ทรรัฐ” ในยุคนั้น เสียงปืนระดมยิงเข้ามาในธรรมศาสตร์มหาวิทยาลัยซึ่งเป็นฐานที่มั่นของฝ่ายประชาธิปไตยและรักความเป็นธรรม

ธรรมศาสตร์สถาบันที่พร่ำสอนให้รักประชาชนถูกปิดล้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตำรวจตระเวนชายแดนและทหารรวมทั้ง กองกำลังมวลชนจัดตั้งขวาจัดอย่างกระทิงแดง นวพลและลูกเสือชาวบ้าน เมื่อ 44 ปีที่แล้ว

มวลชนเหล่านี้ถูกปลุกเร้าว่า นักศึกษาที่ชุมนุมในธรรมศาสตร์ เป็น พวกชังชาติ ขายชาติ หนักแผ่นดินและเป็นพวกคอมมิวนิสต์ การปลุกเร้าใส่ร้ายด้วยวาทกรรมเหล่านี้ได้ผลอย่างมากจากความบ้าคลั่งของกลุ่มมวลชนจัดตั้งเหล่านี้ที่กระทำรุนแรงต่อร่างไร้วิญญาณของ วิชิตชัย อมรกูล จารุพงษ์ ทองสินธุ์ มนัส เศียรสิงห์ เป็นต้น

ผู้คนทั่วโลก รวมทั้ง ชาวไทยที่รักความสงบรักความเป็นธรรม แทบไม่เชื่อสายตาตัวเองว่า เกิดเหตุการณ์อันโหดร้ายเช่นนี้กลางกรุงเทพเมื่อ 44 ปีที่แล้ว

สถาบันการศึกษา ที่ “คณะราษฎร” มุ่งหมายให้เป็นแหล่งผลิตพลเมืองอย่าง “ธรรมศาสตร์” ต้องนองไปด้วยเลือดและตกเป็นเป้าของอาวุธสงครามที่ยิงถล่มเข้ามาราวกับเป็นสนามรบ

เหตุการณ์เยี่ยงนี้เกิดขึ้นในประเทศที่บอกว่า บ้านเมืองของตัวเองเป็นเมืองพุทธ ที่องค์ศาสดาสอนให้ ผู้คนมีเมตตากรุณาต่อกัน ห้ามการฆ่าฟันกัน

ที่น่าเสียใจ เศร้าใจ ก็คือ เหตุการณ์รุนแรงแบบนี้ก็เกิดซ้ำรอย 6 ตุลา 19 อีกหลายครั้งในรอบ 40 ปีที่ผ่านมา และเป็นภารกิจทางประวัติศาสตร์ที่เราต้องช่วยกันไม่ให้เกิดความรุนแรงนองเลือดแบบนั้นอีก ต้องช่วยกันลดเงื่อนไขสำหรับคนที่ต้องการสร้างสถานการณ์

คนหนุ่มสาวในปี 2519 จำนวนหนึ่งถูกคุกคามไล่ล่าจนต้องหนีเข้าป่าจับอาวุธร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย เช่นเดียวกับ คนหนุ่มสาวในยุคนี้ก็ถูกคุกคาม ถูกยัดคดี ทั้งที่เขาเป็นเยาวชนผู้เป็นอนาคตของชาติ แต่ตอนนี้ไม่มีป่าให้หนี ไม่มีพรรคคอมมิวนิสต์ให้เข้าร่วม ก็คงต้องยอมติดคุกหรือหนีไปต่างประเทศ ทั้งที่เราควรเปิดเวทีให้เยาวชนได้แสดงออก และ เปิดการสานเสวนากันเพื่อแสวงหาทางออกให้บ้านเมือง

การปราบปรามอย่างโหดร้ายทารุณต่อขบวนการสันติธรรมประชาธิปไตยของคนหนุ่มสาวโดยทรรัฐเผด็จการเมื่อ 44 ปีที่แล้ว ทำให้ประเทศไทยถลำลึกเข้าสู่ภาวะสงครามกลางเมืองเต็มรูปแบบระหว่างกองทัพไทย กับ กองทัพปลดแอกประชาชนของพรรคคอมมิวนิสต์ กว่าจะฟื้นฟูให้บ้านเมืองมีความสงบปรองดองสมานฉันท์ต้องใช้เวลามากกว่า 20 ปี

คนหนุ่มสาวที่ได้ลุกขึ้นสู้เพื่อประชาธิปไตยและความเป็นธรรมในวันนั้น ได้กลายเป็น คนวัยเกษียณในวันนี้ แต่ประเทศไทยยังคงหนีไม่พ้นวงจรของระบอบเผด็จการ ระบอบเผด็จการแฝงเร้นบนเสื้อคลุมประชาธิปไตย และ ยังคงวนเวียนอยู่กับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ การสืบทอดอำนาจ และ การเรียกร้องประชาธิปไตย ทั้งที่เราควรก้าวข้ามพ้นปัญหาเหล่านี้สู่สังคมที่ก้าวหน้าก้าวไกลกว่านี้มาก

44 ปี เรามีรัฐประหารอีก 4 ครั้ง ความพยายามก่อกบฏโดยคณะทหารอีกหลายครั้ง มีการเรียกร้องประชาธิปไตยและเกิดเหตุการณ์รุนแรงนองเลือดหลายครั้งจากการปราบปรามโดยเจ้าหน้าที่รัฐ

เหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 ทำให้ ระบอบเผด็จการทหารคณาธิปไตย ที่อยู่ในอำนาจการปกครองประเทศมาอย่างยาวนานนับจากการรัฐประหาร พ.ศ. 2500 ถูกโค่นล้มโดยขบวนการประชาธิปไตยของนิสิตนักศึกษาประชาชน แต่ พลังอนุรักษ์นิยมจารีตนิยมขวาจัดสุดขั้ว ได้ทำให้ให้ระบอบประชาธิปไตยไทยถอยหลังอีกครั้งหนึ่งหลังจากได้สร้างสถานการณ์ความรุนแรงในเหตุการณ์ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 ผลสะเทือนของทั้งสองเหตุการณ์ได้ทำให้ผู้มีอำนาจรัฐต้องยอมรับระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภามากขึ้นและต้องฟังเสียงการมีส่วนร่วมของประชาชนเจ้าของประเทศมากขึ้น สังคมไทยเรียนรู้การแก้ปัญหาความขัดแย้งและวิกฤตการณ์ทางการเมืองด้วยแนวทางสันติวิธีมากขึ้น

44 ปีหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม และ 47 ปีหลัง เหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 โครงสร้างเศรษฐกิจไทยได้ปรับเปลี่ยนจากประเทศเกษตรกรรมสู่การเป็นประเทศอุตสาหกรรมมากขึ้นตามลำดับและมีสัดส่วนของภาคบริการที่ขยายเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ประเทศไทยสามารถก้าวจากประเทศด้อยพัฒนายากจนสู่การเป็นประเทศที่มีรายได้ระดับปานกลางโดยช่วงเวลาที่ประเทศไทยมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในระดับสูงสองช่วง คือ ช่วงทศวรรษ 2530 และ ช่วงครึ่งหลังของทศวรรษ 2540 โครงสร้างการผูกขาดทางเศรษฐกิจและการเมืองได้คลายตัวลงในบางช่วงโดยเฉพาะหลังมีการปฏิรูปการเมืองในปี พ.ศ. 2540 ช่วงวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจการเงินปี 2540 และมีการร่างรัฐธรรมนูญปี พ.ศ. 2540 ซึ่งเกิดจากการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างกว้างขวาง จึงเรียกรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวว่า เป็นรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เกิดวิกฤตการณ์ทางการเมืองในปี พ.ศ. 2549 ระบอบอำนาจนิยมได้ฟื้นตัวอีกครั้งหนึ่ง มีการรัฐประหารขึ้นในเดือนกันยายน พ.ศ. 2549 และได้คืนอำนาจให้ประชาชนภายใน 1 ปีแต่ก็ยังเกิดปัญหาวิกฤตการณ์ทางการเมืองและปัญหาเสถียรภาพของระบอบประชาธิปไตยอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งมีการรัฐประหารอีกครั้งหนึ่งในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2557

ภารกิจข้างหน้าของขบวนการประชาธิปไตย คือ ทำอย่างไรที่เอาชนะขบวนการปรปักษ์ประชาธิปไตย ด้วยยุทธศาสตร์และยุทธวิธีที่จะทำให้เราหลีกเลี่ยงความรุนแรงและการสูญเสีย และ ผมเห็นว่า ทางออกนั้น คือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย และ การขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศครั้งใหญ่ด้วย สสร ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนโดยตรง ที่ใดไม่มีความเป็นธรรม ที่ใดไม่มีเสรีภาพ ที่นั้นมีการลุกขึ้นสู้ เมื่อความอยุติธรรมอยู่ในเนื้อในของระบบกฎหมาย การต่อสู้ให้มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขจึงเป็นหน้าที่อันยิ่งใหญ่

เมื่อกฎหมายกติกาสูงสุด หรือ รัฐธรรมนูญมาจากการรัฐประหาร มีที่มาจากการยึดอำนาจ ถูกออกแบบให้มีการสืบทอดอำนาจ เนื้อหาก็ไม่เป็นประชาธิปไตย ย่อมเป็นหน้าที่ของผู้รักชาติ รักประชาธิปไตยต้องช่วยกันรณรงค์ให้มีการแก้ไขเพื่อหยุดยั้งการสืบทอดอำนาจ แก้ไขให้เป็นประชาธิปไตย อันเป็นพื้นฐานสำคัญในการนำพาบ้านเมืองไปสู่ความก้าวหน้า สู่ความสันติสุข ปรองดองสมานฉันท์ และ ร่วมฝ่าวิกฤติ Covid-19 และ วิกฤติเศรษฐกิจไปได้

เมื่อความอยุติธรรม การกดทับอำนาจประชาชน การละเมิดต่อหลักการสิทธิเสรีภาพ อยู่ในเนื้อในของระบบกฎหมาย การต่อสู้เพื่อให้มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขจึงเป็นหน้าที่อันยิ่งใหญ่

คณะกรรมาธิการฯที่ตั้งขึ้นมาเพื่อศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญอีก 1 เดือนทั้งที่ควรจะรับหลักการทั้ง 6 ร่างไปแล้วนำไปศึกษาในวาระที่ 2 ทำให้ถูกมองว่าเป็นการเตะถ่วงเวลา ไม่ตอบสนองต่อเสียงเรียกร้องของประชาชน เพิ่มความไม่แน่นอนทางการเมือง และเศรษฐกิจ สิ่งที่เห็นชัดมาตลอด คือ หลังรัฐสภาโดยเฉพาะวุฒิสมาชิกไม่ยอมรับหลักการการแก้ไขรัฐธรรมนูญ นักลงทุนต่างชาติขาดความเชื่อมั่น โยกเงินออกจากประเทศไทย เงินไหลออกเพิ่มขึ้น ซ้ำเติมความเดือดร้อนทุกข์ยากทางเศรษฐกิจของประชาชน และ เกิดความเสี่ยงและความวิตกกังวลเพิ่มขึ้นว่า จะเกิดวิกฤตการณ์ทางการเมืองหรือไม่ เราหวังว่า การชุมนุมใหญ่เรียกร้องประชาธิปไตยจะไม่เกิดเหตุรุนแรงใดๆและขอให้ทุกคนปฏิบัติตามกฎหมาย เจ้าหน้าที่ของรัฐต้องไม่ใช้กฎหมายในการข่มขู่คุกคามประชาชน

เราตระหนักถึง ความเป็นจริงของค่ายกลที่ซ่อนไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ทำให้การแก้ไขเป็นไปได้ยากมากหากไม่ได้ความร่วมมือจากสมาชิกวุฒิสภาซึ่งแต่งตั้งโดยแกนนำไม่กี่คนของ คสช.

นายอนุสรณ์ ธรรมใจ ได้เรียกร้องต่อ ส.ว. ว่า ขอให้ ส.ว. เห็นแก่ประโยชน์ของประเทศ นึกถึงประชาชน มากกว่านึกถึงตำแหน่ง อำนาจและผลประโยชน์ด้วยการเข้าร่วมกับขบวนการการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่ดูเหมือนว่า ท่าน สว ส่วนใหญ่จะไม่ได้ตระหนักถึงเรื่องนี้เท่าไหร่ เมื่อเป็นเช่นนั้น การรณรงค์ที่มีขอบเขตทั่วประเทศเช่นเดียวกับการรณรงค์ธงเขียวรัฐธรรมนูญปี 2540 จะต้องเกิดขึ้นในทุกๆจุดของประเทศเพื่อส่งสัญญาณและบอกกล่าวกับท่านด้วยความปรารถนาดีต่อกัน ปรารถนาดีต่อประเทศชาติ ว่า หมดเวลาของท่านแล้ว ลงจากอำนาจได้แล้ว และ ออกมาร่วมเดินกับประชาชนเพื่อสถาปนา ระบอบประชาธิปไตยอันมี “กษัตริย์” เป็นประมุข มีรัฐธรรมนูญของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน เป็น รัฐธรรมนูญกินได้ ที่จะมาช่วยแก้ไขปัญหาของบ้านเมือง และ เศรษฐกิจ ที่ทุกคนมีส่วนร่วมในการร่างขึ้นมาใหม่

“ขอให้ทุกท่านโดยเฉพาะคนหนุ่มสาวมีจิตใจอันแข็งแกร่งในการยืดหยันต่อสู้ให้เกิดรัฐธรรมนูญประชาธิปไตย มีหัวใจอ่อนโยนเพื่อให้การเคลื่อนไหวยึดมั่นในแนวทางสันติวิธี ใช้ ภราดรภาพ ในการเอาชนะพลังแห่งความเกลียดชังและทำลายป้ายสี เราต้องสู้ด้วยความดีและเหตุผล” นายอนุสรณ์ ทิ้งท้าย

 

ข่าวที่น่าสนใจ