10 ประเด็นสำคัญระดับโลก ปี 2020

by ThaiQuote, 31 ธันวาคม 2563

ย้อนดู 10 ประเด็นสำคัญระดับโลกของปี 2020 โควิด-19 ยืนหนึ่งสะเทือนมนุษยชาติ สหรัฐฯ กับความขัดแย้งในสังคม นายกฯ คนใหม่ญี่ปุ่น ฯลฯ

สำนักข่าวซินหัว ต้อนรับปีใหม่ด้วยการรวบรวม 10 ประเด็นสำคัญระดับโลกของปีที่ผ่านมา ทั้งด้าน เศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ค.ศ.2020 คือ 365 วันแห่งความยากลำบาก แม้จะไม่มีใครอยากจำ แต่เชื่อว่าคงยากจะลืมเลือน

1.โรคโควิด-19 ระบาดใหญ่รุนแรงทั่วโลก

เมื่อวันที่ 11 มี.ค. องค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศให้การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) เป็น “การระบาดใหญ่” โดยข้อมูลขององค์การระบุว่า เมื่อวันที่ 30 ธ.ค. ตามเวลากรุงปักกิ่ง โลกมีผู้ป่วยโรคโควิด-19 สะสมกว่า 80 ล้านราย เสียชีวิตแล้วกว่า 1.77 ล้านราย ผลกระทบที่เกิดขึ้นในวงกว้าง ความสูญเสียมหาศาล และสารพัดอุปสรรคที่ยากต่อการป้องกันและควบคุม ทำให้การระบาดใหญ่ของโรคนี้กลายเป็นวิกฤตสาธารณสุขระดับโลก ที่เคยเกิดขึ้นเพียงไม่กี่ครั้งในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ

 

ขณะที่โลกเผชิญวิกฤตทางสาธารณสุขครั้งใหญ่ที่สุดในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 หลายประเทศต่างร่วมมือกันต่อสู้กับการระบาด โดยจีนได้ทำปฏิบัติการด้านมนุษยธรรมเพื่อรับมือภาวะฉุกเฉินระดับโลกครั้งใหญ่ที่สุด นับตั้งแต่การก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน และได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในเวทีโลก

อย่างไรก็ตาม มีนักการเมืองสหรัฐฯ บางคนพยายามทำการระบาดให้เป็นเรื่องการเมือง ทำการตีตรา ปัดความรับผิดชอบของตน และทำร้ายความร่วมมือของนานาชาติในการต่อสู้กับเชื้อไวรัส ซึ่งกลายเป็นอุปสรรคในการต่อสู้กับโรคระบาดของมนุษยชาติข่าวอื่นที่น่าสนใจ

2. แนวคิดการสร้างประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันของมนุษยชาติได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น

สีจิ้นผิง ประธานาธิบดีจีนเสนอแนวคิดการสร้างประชาคมด้านสุขภาพระดับโลกสำหรับทุกคนเป็นครั้งแรกในเดือนมีนาคม

แนวคิดของประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันของมนุษยชาติแข็งแกร่งขึ้น ตั้งแต่การสร้างประชาคมด้านสุขภาพระดับโลกสำหรับทุกคน ไปจนถึงการสร้างประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันของทุกชีวิตบนโลก ตลอดจนประชาคม 4 ด้าน ได้แก่ สุขภาพ ความมั่นคง การพัฒนา และการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม ขององค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ (SCO)

 

การสร้างประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันของมนุษยชาติคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากจีนทำงานร่วมกับฝ่ายอื่นๆ มากขึ้น ในการสร้างทวิภาคีที่มีอนาคตร่วมกัน

จีนบรรลุฉันทามติเพิ่มขึ้นในการสร้างประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันกับประเทศเพื่อนบ้าน,ประเทศในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก, อาเซียน, แอฟริกา, อาหรับ และลาตินอเมริกา

การต่อสู้กับโรคโควิด-19 ของทั่วโลก ย้ำถึงความจริงที่ว่ามนุษยชาติล้วนมีอนาคตร่วมกัน ดังนั้นแนวคิดนี้จึงได้รับความนิยมยิ่งขึ้นในทั่วโลก

3. จีนส่งเสริมความสามัคคีและความร่วมมือผ่าน “การทูตคลาวด์”

วันที่ 26 มี.ค. สีจิ้นผิงเข้าร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่มประเทศ จี20 (G20) สมัยพิเศษ เกี่ยวกับสถานการณ์โรคโควิด-19 ผ่านทางออนไลน์ และเรียกร้องให้ทุกฝ่ายร่วมมือกันต่อสู้กับการระบาดใหญ่

ตั้งแต่เกิดการระบาดใหญ่ขึ้น สีจิ้นผิงดำเนิน “การทูตทางโทรศัพท์” และ “การทูตทางจดหมาย” โดยเข้าร่วมและเป็นประธานการประชุมแบบเสมือนจริงหลายครั้ง อาทิ การประชุมสมัชชาอนามัยโลก (WHA), การประชุมวิสามัญจีน-แอฟริกา ว่าด้วยการร่วมใจต่อสู้โรคโควิด-19, การประชุมระดับสูงเนื่องในโอกาสครบรอบ 75 ปีการก่อตั้งสหประชาชาติ,

 

การประชุมสภาผู้นำรัฐบาลแห่งองค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ (SCO), การประชุมของกลุ่มประเทศบริกส์ (BRICS), การประชุมระดับผู้นำด้านความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก และการประชุมสุดยอด G20

ระหว่างการประชุมเหล่านี้สีจิ้นผิงได้นำเสนอวิธีการของจีนในการส่งเสริมความร่วมมือเพื่อต่อต้านโควิด-19 กระตุ้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และพัฒนาธรรมาภิบาลโลก

ภายใต้การชี้นำทางยุทธศาสตร์ของผู้นำจีนและรัสเซีย ความเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์อย่างรอบด้านในการประสานงานสำหรับยุคใหม่ระหว่างจีนและรัสเซียยังคงมีความมั่นคงและแข็งแกร่ง แสดงถึงพลังและความสามารถในการฟื้นตัวอันดี

จีนปฏิบัติตามหลักการของความสามัคคีและความร่วมมือ โดยมีส่วนร่วมที่สำคัญในด้านการส่งเสริมสุขภาพและสวัสดิภาพของมนุษยชาติ รวมถึงสันติภาพและการพัฒนาของโลก

4. ความขัดแย้งทางเชื้อชาติเผยปัญหาสิทธิมนุษยชนในสหรัฐฯ

เมื่อวันที่ 25 พ.ค. จอร์จ ฟลอยด์ ชายชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกาเสียชีวิตลงหลังถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจผิวขาวใช้เข่ากดลำคอของเขาลงกับพื้นนานเกือบ 9 นาที เหตุการณ์นี้จุดประกายการประท้วงขนานใหญ่ยืดเยื้อทั่วสหรัฐฯ เพื่อต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติและพฤติกรรมโหดร้ายของตำรวจ

 

ตั้งแต่นั้นมามีการเปิดโปงกรณีการใช้ความรุนแรงกับชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกาโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจผิวขาวอย่างต่อเนื่อง และมีการยกระดับการประท้วงต้านการเหยียดเชื้อชาติ “ชีวิตคนดำก็มีค่า” กลายเป็นหนึ่งในวลีที่โด่งดังที่สุดของปี 2020

ข้อเท็จจริงเผยให้เห็นว่าแนวคิดคนขาวเป็นใหญ่ในสหรัฐฯ ยังคงอยู่ไม่เสื่อมคลาย ความขัดแย้งทางเชื้อชาติยากจะไกล่เกลี่ย การแบ่งแยกทางสังคมขยายวงกว้าง ซึ่งล้วนส่อถึงปัญหาสิทธิมนุษยชนและการเหยียดเชื้อชาติเชิงระบบที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯ

5. อาเบะลาออกจากตำแหน่งนายกฯ ญี่ปุ่น แต่นโยบายส่วนใหญ่ยังคงเดิม

เมื่อวันที่ 28 ส.ค. อดีตนายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่น ชินโซ อาเบะ ประกาศลาออกจากตำแหน่งด้วยเหตุผลด้านสุขภาพ ต่อมาวันที่ 14 ก.ย. โยชิฮิเดะ ซูงะ หัวหน้าเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้รับเลือกเป็นประธานพรรคเสรีประชาธิปไตยคนใหม่ และขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีในวันที่ 16 ก.ย. สิ้นสุดยุคสมัยของอาเบะนายกรัฐมนตรีที่ปฏิบัติหน้าที่นานที่สุดของญี่ปุ่น ผู้ได้บริหารประเทศมานานกว่า 7 ปี

 

ซูงะประกาศชัดเจนว่าเขาจะ “สานต่อการดำเนินงานในสมัยของนายกรัฐมนตรีอาเบะ” โดยนโยบายด้านการทูตและความมั่นคงของเขาเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับคณะรัฐบาลของอาเบะ

6. สหประชาชาติส่งเสริมระบบพหุภาคี ในวาระครบรอบ 75 ปี

เมื่อวันที่ 21 ก.ย. สหประชาชาติจัดการประชุมระดับสูงเนื่องในโอกาสครบรอบ 75 ปี การก่อตั้งสหประชาชาติ โดยประเทศสมาชิกได้รับรองคำประกาศที่ย้ำถึงความสำคัญของระบบพหุภาคีและความร่วมมือระหว่างประเทศ พร้อมยืนยันพันธกิจต่อการพัฒนาที่ยั่งยืน การปกป้องสิ่งแวดล้อม สันติภาพ ความยุติธรรม และความเท่าเทียมทางเพศ เป็นต้น

 

บรรดาผู้นำและผู้แทนจากประเทศที่เข้าร่วมการประชุมระบุว่าขณะที่โลกเผชิญภยันตรายและความท้าทาย โดยเฉพาะการระบาดใหญ่ของโรคโควิด-19 ประชาคมระหว่างประเทศเล็งเห็นถึงความเร่งด่วนในการค้ำจุนระบบพหุภาคีและยกระดับการประสานงานระดับโลกให้มากขึ้น โดยอันโตนิอู กูแตร์เรช เลขาธิการสหประชาชาติกล่าวว่าประชาคมระหว่างประเทศจำเป็นต้องมีระบบพหุภาคีที่มีประสิทธิภาพ พร้อมกระตุ้นให้ทั่วโลกร่วมมือกันพัฒนาธรรมาภิบาลโลก

ความเห็นของบรรดาผู้เข้าร่วมการประชุมสะท้อนให้เห็นถึงฉันทามติระหว่างประเทศเรื่องการยกระดับการปฏิรูประบบธรรมาภิบาลระดับโลก

7. ความขัดแย้งนากอร์โน-คาราบัค เป็นภัยต่อความมั่นคงของภูมิภาค

ความขัดแย้งกันด้วยอาวุธระหว่างอาร์เมเนียและอาเซอร์ไบจานในภูมิภาคนากอร์โน-คาราบัค ปะทุขึ้นเมื่อวันที่ 27 ก.ย. แม้หลายประเทศ เช่น รัสเซียและสหรัฐฯ จะช่วยผลักดันข้อตกลงสงบศึกถึง 3 ครั้งในเดือนตุลาคม แต่ก็ไม่สามารถยุติการปะทะที่รุนแรงได้

 

ในเดือนพฤศจิกายนผู้นำของรัสเซีย อาเซอร์ไบจาน และอาร์เมเนียบรรลุข้อตกลงสันติภาพ พร้อมประกาศจุดสิ้นสุดของความขัดแย้ง ต่อมารัสเซียและตุรกีได้ลงนามในบันทึกข้อความเพื่อร่วมกันจัดตั้งศูนย์สำหรับสังเกตการณ์การสงบศึกในพื้นที่ดังกล่าว

ความขัดแย้งในครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อความสมดุลทางภูมิรัฐศาสตร์ในภูมิภาคคอเคซัสและพื้นที่ใกล้เคียง ซึ่งเปราะบางเป็นทุนเดิม

8. เศรษฐกิจโลกสะเทือน-ถดถอยหนัก

เมื่อวันที่ 13 ต.ค. กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เผยแพร่รายงานประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจโลกซึ่งคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกจะหดตัวร้อยละ 4.4 ในปี 2020 เนื่องจากผลกระทบของการระบาดใหญ่ของโรคโควิด-19 ประกอบกับปัจจัยเชิงลบอื่นๆ

 

ขณะที่การระบาดได้ลุกลามไปทั่ว โลกต้องเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่ร้ายแรงที่สุดนับตั้งแต่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (Great Depression) ช่วงทศวรรษ 1930 ทั้งยังเจอปัญหาจากความเสี่ยงต่างๆ ที่มาจากการระบาดของโรค และยังไม่มีแนวโน้มว่าจะฟื้นตัวอย่างมั่นคงได้ในเร็ววัน

ช่วงเวลานี้มีเทคโนโลยีใหม่ๆ เกิดขึ้น เช่น 5จี (5G) ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และเทคโนโลีด้านเมืองอัจฉริยะ รวมถึงมีการเติบโตอย่างรวดเร็วของเศรษฐกิจแบบไร้การสัมผัส เช่น การซื้อสินค้า-การศึกษาทางออนไลน์ และโทรเวชกรรม ซึ่งสร้างหนทางใหม่ให้กับการพัฒนาเศรษฐกิจ

9. การลงนามความตกลง RCEP หนุนความร่วมมือพหุภาคี

เมื่อวันที่ 15 พ.ย. ประเทศสมาชิก 15 แห่ง ได้แก่ 10 กลุ่มประเทศอาเซียน จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ร่วมลงนามในความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) พร้อมจัดตั้งกลุ่มความตกลงการค้าเสรีที่มีจำนวนประชากรมากที่สุดในโลก มีโครงสร้างสมาชิกที่หลากหลายที่สุด และมีศักยภาพการพัฒนาสูงสุด

 

ความตกลงข้างต้นเป็นความสำเร็จยิ่งใหญ่ของภูมิภาคเอเชียตะวันออก ซึ่งจะนำไปสู่การเปิดกว้างอย่างมาก ในด้านการค้าสินค้าและบริการ รวมถึงการลงทุนในหมู่ประเทศสมาชิก ยกระดับเสรีภาพทางการค้าและการลงทุน และเสริมสร้างแรงดึงดูดและความสามารถในการแข่งขันในภูมิภาค ทั้งส่งเสริมการพัฒนาและความเจริญรุ่งเรืองในภูมิภาค ขณะเดียวกันก็เป็นแรงกระตุ้นใหม่ในการเติบโตของโลก

10. ข้อตกลงการค้าหลังเบร็กซิตที่ไม่ง่าย-เลี่ยงเจ็บตัวทั้งสองฝ่าย

หลังการเจรจาที่ซับซ้อนยืดเยื้อนาน 9 เดือนในที่สุดสหราชอาณาจักรและสหภาพยุโรปได้บรรลุข้อตกลงการค้าเสรีแล้วเมื่อวันที่ 24 ธ.ค. ข้อตกลงนี้จะควบคุมดูแลความสัมพันธ์ทางการค้าและความมั่นคงระหว่างสองฝ่ายตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2021

ข้อตกลงนี้จะสร้างความมั่นคงให้แก่ความร่วมมือในอนาคตระหว่างสหราชอาณาจักรและสหภาพยุโรป เพื่อเลี่ยงสถานการณ์เสียหายทั้งสองฝ่าย อันเกิดขึ้นจากการถอนตัวจากสหภาพยุโรปโดยไร้ข้อตกลง

 

เบร็กซิตสร้างความเปลี่ยนแปลงต่อสหภาพยุโรป และจะส่งผลกระทบใหญ่หลวงด้านการเมืองและเศรษฐกิจของโลก นานาประเทศล้วนจับตาดูความเป็นไปของความสัมพันธ์ระหว่างสหราชอาณาจักรกับสหภาพยุโรปหลังจากการถอนตัวครั้งนี้

 

บทความที่น่าสนใจ

ยูเอ็น ปลดล็อก กัญชา หวังกระตุ้นให้เกิดการใช้ทางการแพทย์มากขึ้น