เอ็กโก กรุ๊ป เร่งขับเคลื่อนองค์กรในทุกมิติให้พร้อมตอบสนองต่อการเปลี่ยนผ่านของอุตสาหกรรมพลังงาน

by วันทนา อรรถสถาวร , 24 กันยายน 2565

บริษัทลงทุนในธุรกิจไฟฟ้าที่มีความหลากหลายทั้งในด้านของประเภทการผลิต ชนิดของเชื้อเพลิงที่ใช้ผลิตไฟฟ้าทั้ง conventional และพลังงานหมุนเวียน” -เทพรัตน์ เทพพิทักษ์-

 

 

ธุรกิจพลังงานไฟฟ้า ถือได้ว่าเป็นธุรกิจที่มีอนาคต เนื่องจากทิศทางของพลังงานมุ่งหน้าเข้าสู่พลังงานสะอาด ลดการใช้พลังงานจากฟอสซิล ซึ่งบริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็กโก กรุ๊ป เป็นหนึ่งในธุรกิจที่มีการลงทุนในพลังงานไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง ทาง Thaiquote จึงได้สัมภาษณ์คุณเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอ็กโก กรุ๊ป เพื่อแนะนำกิจการของบริษัท ตลอดจนแนวทางการดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน

 

ธุรกิจพลังงานของเอ็กโก กรุ๊ป แบ่งออกเป็นกี่ประเภท อะไรบ้าง

คุณเทพรัตน์ เล่าว่าจุดกำเนิดของบริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็กโก กรุ๊ป เป็นผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ รายแรกของประเทศไทย ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2535 และเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยมีผู้ถือหุ้นหลัก ได้แก่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และ บริษัท เท็ปเดีย เจเนอเรติ้ง บี.วี. จำกัด

เอ็กโก กรุ๊ป ดำเนินธุรกิจบนวิสัยทัศน์ “เป็นบริษัทไทยชั้นนำที่ดำเนินธุรกิจพลังงานอย่างยั่งยืน ด้วยความใส่ใจที่จะธำรงไว้ซึ่งสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาสังคม” โดยประกอบธุรกิจในลักษณะโฮลดิ้ง คัมปานี โดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น ๆ ดังนั้น รายได้หลักจะมาจากเงินปันผลในบริษัทย่อยและกิจการร่วมค้า ซึ่งประกอบธุรกิจสอดคล้องกับ แผนธุรกิจของเอ็กโก กรุ๊ป

คุณเทพรัตน์ เล่าต่อว่า ในปัจจุบัน เอ็กโก กรุ๊ป ดำเนินธุรกิจมาครบรอบ 30 ปี ในปี 2565 โดยขยายธุรกิจจากการเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าสู่การเป็นผู้ดำเนินธุรกิจพลังงานครบวงจร โดยมีประเภทธุรกิจแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่
• ธุรกิจไฟฟ้า (ธุรกิจกลางน้ำ) เป็นธุรกิจหลักและความเชี่ยวชาญของเอ็กโก กรุ๊ป ซึ่งเป็นรากฐานความแข็งแกร่งขององค์กร ปัจจุบันเอ็กโก กรุ๊ป มีกำลังผลิตไฟฟ้าตามสัดส่วนการถือหุ้นรวมทั้งสิ้น 6,071 เมกะวัตต์ (รวมโรงไฟฟ้าที่เดินเครื่องเชิงพาณิชย์แล้วและโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง) โดยมีกำลังผลิตจากพลังงานหมุนเวียนรวมสูงถึง 1,415 เมกะวัตต์ ทั้งจากชีวมวล พลังงานน้ำ พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังงานความร้อนใต้พิภพ และเซลล์เชื้อเพลิง ทั้งนี้ โรงไฟฟ้าและโครงการต่าง ๆ ตั้งอยู่ใน 8 ประเทศ ได้แก่ ไทย สปป.ลาว ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ ไต้หวัน และสหรัฐอเมริกา
• ธุรกิจเชื้อเพลิงและสาธารณูปโภคที่เกี่ยวเนื่องกับพลังงาน (ธุรกิจต้นน้ำ) เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับธุรกิจหลัก ได้แก่ การดำเนินโครงการขยายระบบขนส่งน้ำมันทางท่อไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ “ทีพีเอ็น” การได้รับใบอนุญาตจัดหาและ ค้าส่งก๊าซธรรมชาติในประเทศไทย และนิคมอุตสาหกรรมเอ็กโกระยอง

• ธุรกิจ Customer Solution & Startup (ธุรกิจปลายน้ำ) เป็นการต่อยอดธุรกิจหลักด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีพลังงาน รวมถึงธุรกิจ New S-Curve ผ่านการลงทุนในบริษัทด้านการวิจัยเพื่อพัฒนานวัตกรรม “อินโนพาวเวอร์” และบริษัทเทคโนโลยีด้านการเงิน “เพียร์ พาวเวอร์” เป็นต้น

 

  

 

ธุรกิจพลังงานแต่ละประเภทมีศักยภาพมากน้อยเพียงใด

คุณเทพรัตน์ เล่าว่า ธุรกิจพลังงานของเอ็กโก กรุ๊ป ทั้ง 3 กลุ่ม ต่างมีศักยภาพในการเติบโตในมิติที่แตกต่างกัน ประกอบด้วย

• ธุรกิจไฟฟ้า (ธุรกิจกลางน้ำ) ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของบริษัท ยังคงมีโอกาสเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากความต้องการพลังงานสะอาดและพลังงานหมุนเวียนที่เพิ่มสูงขึ้นทั่วโลก ขณะเดียวกันก็ยังมีความต้องการพลังงานจากเชื้อเพลิงหลัก (Conventional) เพื่อรักษาเสถียรภาพให้ระบบไฟฟ้าควบคู่กัน ในอนาคต เอ็กโก กรุ๊ป ยังคงแสวงหาโอกาสลงทุนในธุรกิจไฟฟ้าทั้งโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนและโรงไฟฟ้าแบบ Conventional ทั้งในและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีฐานธุรกิจอยู่แล้ว โดยเฉพาะในประเทศสหรัฐอเมริกา ตลอดจนศึกษาและพัฒนาการผลิตไฟฟ้าจากไฮโดรเจน (Hydrogen to Power) เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งของธุรกิจหลักและเดินหน้าในการบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน

• ธุรกิจเชื้อเพลิงและสาธารณูปโภคที่เกี่ยวเนื่องกับพลังงาน (ธุรกิจต้นน้ำ) ก็มีโอกาสเติบโตอย่างต่อเนื่องเช่นกัน เพราะพลังงาน Conventional เช่น น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และ LNG ยังมีความสำคัญในการสร้างเสถียรภาพให้กับระบบไฟฟ้าดังเช่นที่กล่าวมา ในขณะเดียวกันการพัฒนาเชื้อเพลิงใหม่ เช่น ไฮโดรเจน เป็นพลังงานสะอาดแห่งอนาคตรุ่นถัดไปที่เชื่อถือได้และตอบโจทย์การมุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำ สำหรับกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมในประเทศไทย

• ธุรกิจ Customer Solution & Startup (ธุรกิจปลายน้ำ) เป็นการต่อยอดธุรกิจหลักด้วยการพัฒนาธุรกิจเกี่ยวกับนวัตกรรมไฟฟ้าและธุรกิจ New S-Curve อย่างต่อเนื่อง ผ่านการลงทุนในบริษัท “อินโนพาวเวอร์” เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและก้าวเข้าสู่การเป็นองค์กรคาร์บอนต่ำและสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนในอนาคต ธุรกิจนี้มีโอกาสสร้างการเติบโตอย่างก้าวกระโดด แต่ก็มีความเสี่ยงสูงเช่นกัน เนื่องจากเป็นการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม จึงต้องระมัดระวังในการลงทุน

สัดส่วนลูกค้าในประเทศและต่างประเทศเป็นอย่างไร


คุณเทพรัตน์ บอกว่า “เอ็กโก กรุ๊ป มีกำลังผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นจากโรงไฟฟ้าในประเทศคิดเป็นสัดส่วน 49% ของพอร์ตโฟลิโอทั้งหมด และโรงไฟฟ้าในต่างประเทศคิดเป็นสัดส่วน 51% หรือพูดได้ว่าเกือบจะเท่ากัน”

 

 

บริษัทมีกำไรจากการดำเนินงาน (Operating Profit) จากโรงไฟฟ้าต่างประเทศมากกว่าโรงไฟฟ้าในประเทศ ดังเช่นในไตรมาสที่ 2 ปี 2565 บริษัทมีกำไร จากการดำเนินงานจากทรัพย์สินที่ดำเนินการแล้ว (Operating profit of operating assets)
จากต่างประเทศคิดเป็นสัดส่วน 69% และในประเทศคิดเป็น 31%

อะไรคือจุดแข็งของบริษัทในการทำธุรกิจลักษณะนี้

คุณเทพรัตน์ วิเคราะห์ให้ Thaiquote ฟังว่า เอ็กโก กรุ๊ป มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจไฟฟ้าและพลังงานมากว่า 30 ปี มีความแข็งแกร่งดังต่อไปนี้
• บริษัทลงทุนในธุรกิจไฟฟ้าที่มีความหลากหลายทั้งในด้านของประเภทการผลิต ชนิดของเชื้อเพลิงที่ใช้ผลิตไฟฟ้าทั้ง conventional และพลังงานหมุนเวียน และทำเลที่ตั้งของโรงไฟฟ้าทั้งในและต่างประเทศ ทั้งในทวีปเอเชียและทวีปอเมริกา ซึ่งช่วยกระจายความเสี่ยง รักษาเสถียรภาพ พร้อมสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ในอนาคต ส่งผลให้พอร์ตโฟลิโอมีความยืดหยุ่นและพร้อมรับกับความท้าทายต่าง ๆ
• บริษัทมีสภาพคล่องที่แข็งแกร่งและกระแสเงินสดที่คาดการณ์ได้จากการมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาว

 

คุณเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็กโก กรุ๊ป

คุณเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็กโก กรุ๊ป

 


• เอ็กโก กรุ๊ป มีบริษัท เอ็กโก เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ เซอร์วิส จำกัด หรือเอสโก ที่ให้บริการเดินเครื่องและบำรุงรักษา (O&M) และบริการด้านวิศวกรรมเป็นของตัวเอง ดังนั้น เราไม่เพียงแค่ลงทุนในธุรกิจไฟฟ้าเท่านั้น แต่เราสามารถดูแลบริหารจัดการโรงไฟฟ้าได้ เอสโกจึงเป็นธุรกิจที่ช่วยเสริมรายได้ให้กับเรา นับเป็นอีกหนึ่งจุดแข็งที่สำคัญ
• นอกจากนี้ เอ็กโก กรุ๊ป ได้ขยายการลงทุนให้ครอบคลุมถึงธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่องทั้งต้นน้ำและปลายน้ำ ซึ่งจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจหลัก พร้อมสร้างโอกาสให้บริษัทเติบโตอย่างก้าวกระโดดไปพร้อมกับอุตสาหกรรมพลังงานโลก

ทิศทางการลงทุนในอนาคต

คุณเทพรัตน์ กล่าวถึงทิศทางในอนาคต โดยบอกว่า ปัจจุบันอุตสาหกรรมไฟฟ้าและพลังงานอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน โดยได้รับแรงกดดันจากปัจจัย 5 ด้าน หรือ 4D+1E ได้แก่
o Digitalization การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว
o Decarbonization กระแสลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซเรือนกระจก เนื่องจากปัญหาโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
o Decentralization การกระจายศูนย์ของแหล่งผลิตพลังงาน
o Deregulation การปรับปรุงกฎระเบียบในด้านต่าง ๆ
o Electrification ความนิยมใช้พลังงานไฟฟ้าที่เพิ่มมากขึ้น

 

 

คุณเทพรัตน์ อธิบายต่อว่า เอ็กโก กรุ๊ป เร่งขับเคลื่อนองค์กรในทุกมิติให้พร้อมตอบสนองต่อการเปลี่ยนผ่านของอุตสาหกรรมพลังงาน ภายใต้ทิศทางการดำเนินธุรกิจเพื่อขับเคลื่อนองค์กรสู่ความยั่งยืน ด้วยแนวคิด “Cleaner, Smarter and Stronger to Drive Sustainable Growth”ด้วยการกำหนดเป้าหมายทั้งระยะกลางและระยะยาว
• เป้าหมายระยะกลาง : เพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเป็น 30% และลดการปล่อยปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่อหน่วยไฟฟ้าที่ผลิตได้ (Carbon Emission Intensity) ลง 10% ภายในปี พ.ศ.2573 หรือ ปี ค.ศ. 2030
• เป้าหมายระยะยาว : มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral) ภายในปี พ.ศ. 2593 หรือ ปี ค.ศ. 2050

เอ็กโก กรุ๊ป มองโอกาสของพลังงานทางเลือกทั้งในประเทศและต่างประเทศเป็นอย่างไร

คุณเทพรัตน์มองว่า ตลาดพลังงานหมุนเวียนและพลังงงานสะอาดกำลังเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากปัจจัย 4D+1E ตามที่ได้กล่าวมาแล้ว ประกอบกับหลายประเทศทั่วโลกได้มีนโยบายสนับสนุนอย่างจริงจัง เช่น สหรัฐอเมริกามีกฎหมายว่าด้วยการปรับลดเงินเฟ้อ (Inflation Reduction Act) ที่มุ่งเป้าเรื่องสิ่งแวดล้อมและการส่งเสริมพลังงานสะอาดครั้งใหญ่ ด้านประเทศไทยก็มีการจัดทำแผนพัฒนาพลังงานชาติ เพื่อส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาด

 

 

ทางเอ็กโก กรุ๊ป มองว่าตลาดพลังงานหมุนเวียนและพลังงานสะอาดมีโอกาสเติบโตสูง แต่ก็มีการแข่งขันสูงเช่นกัน เป็นลักษณะ Red Ocean จึงต้องพิจารณาการลงทุนด้วยความระมัดระวัง ประกอบกับกำลังการผลิตไฟฟ้าในประเทศไทยยังมีสูงกว่าความต้องการถึง 30% ดังนั้น ตลาดในประเทศที่มีโอกาสตอนนี้ คงเป็นการลงทุนเพื่อรองรับความต้องการของ ภาคธุรกิจและภาคอุตสาหกรรมเป็นหลัก

ส่วนทางด้านตลาดต่างประเทศก็มีศักยภาพสูง โดยเฉพาะในประเทศสหรัฐอเมริกาที่เอ็กโก กรุ๊ป ได้เข้าไปลงทุนในธุรกิจพลังงานหมุนเวียนตั้งแต่ปี 2564 เป็นต้นมา ผ่านการถือหุ้นกว่า 17% ในบริษัทด้านการพัฒนาโครงการพลังงานสะอาด “เอเพ็กซ์ คลีนเอ็นเนอร์ยี โฮลดิ้งส์”ผู้พัฒนาโครงการพลังงานหมุนเวียนขนาดใหญ่ในสหรัฐอเมริกา ทั้งประเภทพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ ผ่านโมเดลธุรกิจแบบใหม่ ซึ่งพัฒนาโครงการเพื่อเดินเครื่องเชิงพาณิชย์เอง 2 ใน 3 ส่วน และจำหน่ายโครงการออกไป 1 ใน 3 ส่วน

นอกจากนี้ เอ็กโก กรุ๊ป มองเห็นศักยภาพของการใช้ไฮโดรเจนเป็นเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้าในอนาคต จึงได้ร่วมกับ กฟผ. และพันธมิตรศึกษาและพัฒนาโครงการนี้อย่างจริงจัง เพื่อก้าวเข้าสู่ธุรกิจนี้อย่างเป็นรูปธรรมและเป็นผู้นำในธุรกิจในอนาคต

เนื่องจากธุรกิจของเอ็กโก กรุ๊ป บางส่วนเกี่ยวเนื่องกับพลังงานฟอสซิล ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เอ็กโก กรุ๊ป มีโครงการที่จะรณรงค์หรือแก้ไขส่วนนี้อย่างไร

คุณเทพรัตน์กล่าวว่า ทางเอ็กโก กรุ๊ป ตระหนักดีว่าธุรกิจผลิตไฟฟ้าและพลังงานมีส่วนสำคัญในการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นสาเหตุของภาวะโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่ผ่านมาเอ็กโก กรุ๊ป ให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมแก้ไขปัญหาตั้งแต่ต้นทางในการทำธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการกระจายเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าให้สมดุลเพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงาน การเพิ่มการลงทุนในพลังงานหมุนเวียนและพลังงานสะอาดอย่างต่อเนื่องตลอด 30 ปี นอกจากนี้ เอ็กโก กรุ๊ป ได้ก่อตั้งและสนับสนุนการดำเนินงานของมูลนิธิไทยรักษ์ป่า เพื่ออนุรักษ์และฟื้นฟูป่าต้นน้ำสำคัญของประเทศ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ มานานกว่า 20 ปี

เอ็กโก กรุ๊ป มีโครงการเกี่ยวกับการควบคุมคาร์บอนอย่างไร

คุณเทพรัตน์อธิบายต่อว่าเอ็กโก กรุ๊ป บริหารจัดการการผลิตไฟฟ้าและกิจกรรมต่าง ๆ ในธุรกิจให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดจากการผลิตให้อยู่ในระดับต่ำ พร้อมติดตามและเก็บสถิติการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดจากกิจกรรมต่าง ๆ รวมถึงขยายการลงทุนในธุรกิจพลังงานทดแทน เพื่อให้มั่นใจว่าบริษัทจะสามารถบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่อหน่วยไฟฟ้าที่ผลิตได้ (Carbon Emission Intensity) 10% ภายในปี พ.ศ. 2573 และ Carbon Neutral ในปี พ.ศ. 2593 ได้ตามเป้าหมาย

 

 

เอ็กโก กรุ๊ป มีกิจกรรมด้านความยั่งยืนอะไรบ้าง อย่างไร

คุณเทพรัตน์กล่าวก่อนจบการสัมภาษณ์ว่า ตลอด 30 ปีที่ผ่านมา เอ็กโก กรุ๊ป ดำเนินธุรกิจตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน หรือ ESG (Environmental, Social and Governance) ด้วยการดูแลสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาชุมชนและสังคมในทุกพื้นที่ที่เข้าไปดำเนินกิจการ ภายใต้หลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี เพื่อสร้างคุณค่าเพิ่มให้กับผู้มีส่วนได้เสียมาอย่างต่อเนื่อง

ไม่ว่าจะเป็นการดูแลทรัพยากรธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้า การใช้ประโยชน์จากโรงไฟฟ้าที่หยุดเดินเครื่องเชิงพาณิชย์แล้ว มาเป็นแหล่งเรียนรู้นอกห้องเรียนด้านพลังงานและกระบวนการผลิตไฟฟ้าผ่าน “ศูนย์เรียนรู้โรงไฟฟ้าขนอม” การดำเนินกิจกรรมพัฒนาชุมชนและสังคม โดยเน้นกลุ่มเยาวชนและครูมาอย่างต่อเนื่อง อาทิ โครงการ “โรงไฟฟ้าพี่โรงเรียนน้อง” และการจัดทำ “หลักสูตรครูพลังงานออนไลน์” เป็นต้น

นอกจากนั้น เอ็กโก กรุ๊ป ยังร่วมบรรเทาสถานการณ์โควิด-19 รวมมูลค่ากว่า 55 ล้านบาทและช่วยเหลือสังคม ควบคู่ส่งเสริมการต่อต้านคอร์รัปชันผ่านโครงการ “เปลี่ยนของขวัญปีใหม่ เป็นพลังใจให้สังคม” ตลอดจนร่วมดูแลอนุรักษ์ฟื้นฟูป่าต้นน้ำผ่านการดำเนินงานของ “มูลนิธิไทยรักษ์ป่า” มากว่า 20 ปี.

ข่าวอื่นที่น่าสนใจ

นำหมุดหมาย 17 ข้อด้านความยั่งยืน มาปรับใช้ให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ “กรุงเทพฯ-มหานครแห่งเอเชีย”
https://www.thaiquote.org/content/248179

“ESG 100” เครื่องหมายการันตีบริษัทมหาชน ก้าวสู่การบริหารที่ยั่งยืน เปิดโอกาสธุรกิจเชื่อมต่อทั่วโลก
https://www.thaiquote.org/content/248119

ประเทศไทยได้รับผลกระทบจากปัญหา Climate Change หรือไม่ สภาพดินฟ้าอากาศจะเปลี่ยนไปอย่างไร
https://www.thaiquote.org/content/247988